Thursday, October 1, 2009

special force สุดยอดนักรบพิเศษ


หน่วยรบพิเศษกรีนแบเรต์ หรือ US Army Special Forces ก่อตั้งขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมาชิกของหน่ยถูกฝึกมาหรับหรับงานก่อวินาศกรรม การกระโดร่ม การปฏิบัติงานทั้ง บกและทางน้ำการปีนเขาและสกี ทว่าทหารหน่วยนี้เป็นที่รู้จักในช่วงสงครามเวียดนาม ระหว่าง พ.ศ. 2510 - 2515 เพราะฝึกหน่วยรบนอกแบบให้กองทัพเวียดนามได้ต่อสู้กับการรบแบบกองโจร โดยใช้กลยุทธ์ในแบบฉบับ "setting a thief to catch a thief " เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง กรีนแบเรต์ไม่ได้รับความนิยมนักในระบบกองทัพบก สหรัฐฯ แต่ต่อมาก็ตระหนักว่า กองกำลังแบบนี้มีความสำคัญต่อกองทัพสมัยใหม่

สมาชิกของกรีนแบเรต์เป็นอาสาสมัคร ต้องมีความสามารถทางโดดร่ม ผ่านโปรแกรม การฝึกที่เข้มข้นยาวนานประมาณ 44 - 62 สัปดาห์ คัดผู้ที่ไม่เหมาะสมออกไป และทหารทุกคน ต้องมีทักษะทางด้านต่อสู้ไหวพริบ และความฉลาด การให้อาวุธพิเศษ การติดต่อสื่อสารหรือ ความชำนาญในการใช้ภาษาต่างประเทศ แต่ละกลุ่มของกรีนแบเรต์ จะมีตรารูปโล่เป็นสีต่างๆ ติดอยู่บนหมวก
ภารกิจหลักของพวกเขาคืองานที่ท้าทายและสี่ยงอันตรายสูงอยู่หลังแนวข้าศึก
โดยภารกิจหลักๆ ของรบพิเศษ ได้แก่
การปฏิบัติการสงครามนอกแบบ
กรป้องกันภายในให้กับมิตรประเทศ
การลาดตระเวนพิเศษ
การปฏิบัติการตรง หรือ Direct Action
การต่อต้านการก่อการร้าย
สำหรับบทบาทอื่นๆ ได้แก่
การปฏิบัติการข่าวสาร
การช่วยเหลือทางมนุษยธรรม เป็นต้น
ชุดรบพิเศษ หรือ SF Operational Detachment-Alpha (ODA)

ใน 1 กองร้อยรบพิเศษจะประกอบไปด้วยชุดรบพิเศษจำนวน 6 ชุด ODAs (Operational Detachments Alpha) หรือเรียกกันว่า "A-teams." จำนวนของสมาชิก ODAs จะแตกต่างกันในแต่ละกองร้อย,โดยสมาชิกของทีมแต่ละกันก็จะมีความชำนาญหือ skill ที่แตกต่างกันออกไป แต่นำมารวมกันเพื่อทำงานเป็นทีมให้ภารกิจสำเร็จ เช่นสมาชิกบางคนที่ความชำนาญพิเศษในการแทรกซึึมเข้าสู่แนวหรือพื้นที่ของข้าศึก โดยการกระโดดร่ม Military Freefall (HALO), การดำน้ำ ,การรบป่าภูเขา ,การรบในทะเล ,หรือการรบในเมือง เป็นต้น
สมาชิกของ ODA จะประกอบด้วยคนจำนวน 12 นาย, ซึ่งแต่ละคนก็จะมีหน้าที่พิเศษแตกต่างกันออกไป ตามความชำนาญทางทหาร หรือ MOS or Military Occupational Specialty) ,อย่างไรก็ตามสมาชิกของทีมจะได้รับการฝึกพืนฐานที่สามารถทำงานทดแทนกันได้กรณีจำเป็นเร่งด่วน ปกติหัวหน้าทีม ODA คือ 18A (Detachment Commander),ยศ ร้อยเอก , และ a 180A (Assistant Detachment Commander) รอง ผบ.ชุด, ปกติจะเป็นผู้หมวด สำหรับคนที่เหลืออื่นๆ ก็จะได้แก่ นายสิบยุทธการ ปกติจะยศจ่าสิบเอก ,ผู้ช่วยนายสิบยุทธการและการข่าว ,นายสิบพยาบาล,นายสิบการช่างและทำลาย,นายสิบการติดตอสื่อสาร และนายสิบอาวุธ



กองร้อยรบพิเศษ SF Operational Detachment-Bravo (ODB)


กองร้อยรบพิเศษ เมื่อมีความต้องการจะจัดย้ายชุดปฏิบัติการ (ODB) หรือ "B-team," ปกติจะประกอบด้วยกำลังประมาณ 11–13 . ในขณะที่ A-team ทำการปฏิบัติภารกิจโดยตรงอยู่นั้น วัตถุประสงค์ของ B-team ก็คือสนับสนุนการปฏิบัติการของ A-teams ในกองร้อยนั้นเอง ปกติจะมีหนึ่ง B-team ต่อหนึ่งกองร้อย

ODB จะถูกนำโดย 18A, ปกติยศพันตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับกองร้อย (CO). ผบ.ร้อย CO จะถูกช่วยเหลือโดยรอง ผบ.ร้อย Executive Officer (XO), อีกหนึ่ง 18A, ปกติยศร้อยเอก .รอง ผบ.ร้อย จะมีผู้ช่วยทางเทคนิคอีกคนคือ 180A,ปกติจะยศ Chief Warrant Officer Three, ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการกำกับดูแลกองร้อย การฝึก การข่าว การต่อต้านข่าวกรอง การปฏิบัติการของกองร้อย และการปฏิบัติการของชุดรบพิเศษ ขณะที่ ผบ.ร้อย จะมีจ่ากองร้อยเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ 18Z, ปกติยศจ่าสิบเอก . ขณะที่ 18Z คนที่สอง จะทำหน้าที่เป็นนายสิบยุทธการ ,ปกติยศจ่าสิบเอก ,ผู้จะช่วยเหลือ รอง ผบ.ร้อย และเจ้าที่เทคนิคคนื่นๆ เกี่ยวกับงานในหน้าที่และการปฏิบัติการต่างๆ โดยเขาจะมี 18F เป็นผู้ช่วย ปกติยศสิบเอก .สำหรับการสนับสนุนของกองร้อยจะมาจาก 18D นายสิบพยาบาล ปกติยศสิบเอก,และ 18E นายสิบสื่อสาร 2คน สิบเอกและสิบโท ตามลำดับ

Note จะเห็นว่าแตกต่างชัดเจนที่ไม่มี นายสิบอาวุธ และนายสิบการช่างและทำลาย เนื่องจาก B-Team จะไม่เข้าเกี่ยวข้องกับการรบโดยตรง แต่การทำงานจะเป็นในลักษณะสนับสนุนการปฏิบัติของ A-Teams นั้นเอง โดยแต่ละกองร้อยรบพิเศษ จะมีทีม ODA ที่มีความชำนาญในการกระโดดร่มแบบ HALO (military free fall parachuting) และ บุคคลที่ได้รับการฝึกเกี่ยวกับการดำน้ำทางยุทธวิธี ขณะที่คนอื่นๆ ของ ODA ทีมจะมีความชำนาญทางทหาร เช่น การรบในป่าภูเขา การรบในแบบนาวิก และการค้นหาและกู้ภัย เป็นต้น
สำหรับตำแหน่งพิเศษ 18-series Career Management Field (CMF), จะไม่มีตำแหน่งอยู่ใน B-Team. เนื่องจากทหารที่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าว ไม่ใช่รบพิเศษ เพราะพวกเขาไม่จบหลักสูตรรบพิเศษ (SFAS) หรือ Special Forces Qualification Course (SFQC or "Q Course):
คนแรกคือ เจ้าหน้าที่ส่งกำลัง ปกติยศจ่า เป็นผู้วางแผนเกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุงของกองร้อย จะทำงานร่วมกับ S-4 ของกองพัน เพื่อสนับสนุนการทำงานของกองร้อย
คนที่ 2 คือ Nuclear, Biological, Chemical (NBC) NCO, ปกติยศสิบเอก รับผิดชอบด้านการปฏิบัติ นชค.ของกองร้อย เกี่ยวกับการตรวจจับตรวจค้นและป้องกัน นชค.ของกองร้อย ตามมาตรการที่กองร้อยกำหนดขึ้น


การคัดเลือกและการฝึก

ก่อนเข้ามาเป็นมาเป็นสมาชิกของหน่วยรบพิเศษ จะต้องผ่านหลักสูตรการคัดเืลือกและการฝึก ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 ภาคด้วยกัน ขั้นแรกคือ SFAS (Phase 1) เรียกว่า Special Forces Qualification Course (SFQC, หรือ the "Q Course"). ถ้าผู้สมครใจผ่านการทดสอบ ก็จะสำเร็จการฝึกศึกษา และเข้าประจำการในชุดรบพิเศษ ได้ (ODA), or "A team."

สำหรัหลักสูตรการคัดเลือกนี้ได้นำมาใช้ในปี mid-1980s โดย ผบ.ค่ายฝึก John F. Kennedy Special Warfare Center and School at the time, Brigadier General James Guest.
There are now two ways for male soldiers (female soldiers are not permitted to serve in Special Forces) to volunteer to attend SFAS:
As an existing soldier in the US Army with the Enlisted rank of E-4 (Corporal/Specialist) or higher, and for Officers the rank of O-2 (1st Lieutenant) promotable to O-3 (Captain), or existing O-3s.
The other path is that of direct entry, referred to as Initial Accession or IA. Here an individual who has no prior military service or who has previously separated from military service is given the opportunity to attend SFAS. Both the Active Duty and National Guard components offer Special Forces Initial Accession programs. The Active Duty program is referred to as the "18X Program" because of the Initial Entry Code that appears on the assignment orders. These soldiers will attend Infantry One Station Unit Training (OSUT, the combination of Basic Combat Training and Advanced Individual Training), Airborne School, and a preparation course to help prepare them for SFAS, as well as two additional preparation courses to help prepare them for Phase 2 of the Q-Course, if selected. This program is commonly referred to as the "X-Ray Program", derived from "18X". The candidates in this program are known as "X-Rays"
All SF trainees must have completed the United States Army Airborne School before beginning Phase 2 of the Q-Course.
[edit]Special Forces Assessment and Selection


Special Forces soldiers from Alpha Company, 3rd Battalion, 3rd Special Forces Group (Airborne) demonstrate how to perform a four-man stack in an artificial building during Exercise Southbound Trooper IX.
Special Forces Assessment and Selection (SFAS) is the first phase of the Special Forces Qualification Course, held at Camp Mackall. It is a mentally and physically demanding course designed to see if the soldier has the twelve "Whole Man" attributes to continue in Special Forces training and to serve on an ODA. These attributes include intelligence, physical fitness, motivation, trustworthiness, accountability, maturity, stability, judgment, decisiveness, teamwork, influence, and communications. Approximately forty percent of all candidates attempting SFAS are successful. [36]Many unsuccessful candidates elect to Voluntarily Withdraw (VW), while others suffer injuries in the course of training and are "Medically Dropped." Those that successfully complete the course must then be selected by the final selection board. Many candidates who make it to the end of the course are not selected because the board deems that they lack the required attributes of an SF soldier, or that they are not yet ready to attempt the next phase in SF training.
Events in SFAS include numerous long land navigation courses. All land navigation courses are conducted day and night under heavy loads of equipment, in any weather conditions, and in rough, hilly terrain. Land navigation is done alone with no assistance from instructors or fellow students and is always done on a time limit, which decreases as the course moves along, and are upwards of 12 miles. Instructors also use obstacle course runs, team events (usually moving heavy loads such as telephone poles and old jeep trucks through sand for miles on end as a 12-man team, with all individual equipment), the Army Physical Fitness Test (APFT), a swim assessment, and numerous physiological exams such as IQ tests and the Defense Language Aptitude Battery (DLAB) test to evaluate candidates. The last event is a 24–32 mile long road march known as "the Trek" or Long Range Individual Movement (LRIM).
Selection outcomes
Those who quit are Voluntarily Withdrawn (VW) by the course cadre are generally designated NTR or Not-to-Return. This generally ends any opportunity a candidate may have to become a Special Forces soldier. Active Duty military candidates will be returned to their previous units, and IA 18X candidates will be transferred to infantry units as 11B Infantrymen.
Candidates who are "medically dropped," and who are not then medically discharged from the military due to serious injury, are often permitted to "recycle," and to attempt the course again as soon as they are physically able to do so.
Candidates who successfully complete the course but who are "Boarded" and not selected ("Non-Select") are generally given the opportunity to attend selection again in 12 or 24 months. It must be noted, however, that the time window to attend SFAS a second time can be heavily influenced by deployment schedules, as "non-selected" candidates are assigned to infantry units in the meantime.
Successful Active Duty candidates usually return to their previous units to await a slot in the Special Forces Qualification Course (SFQC). Because an Initial Accession (IA) 18X candidate lacks a previous unit, he will normally enter the Q Course immediately, or after a short wait.
[edit]MOS, group, and language selection
Upon selection at SFAS, all Active Duty enlisted and IA 18X candidates will be briefed on:
The five Special Forces Active Duty Groups
The four Special Forces Military Occupational Specialities (MOS) initially open to them
The languages utilized in each Special Forces Group
Candidates will then complete what is often referred to as a '"wish list." Enlisted candidates will rank in order of preference the MOS that he prefers (18B, 18C, 18D, 18E). Officer candidates will attend the 18A course. Both enlisted and officer candidates will list in order of preference the SF Groups in which they prefer to serve (1st, 3rd, 5th, 7th, 10th) and the languages in which they prefer to be trained.
Language selection is dependent on the Defense Language Aptitude Battery (DLAB) test scores of the candidate, as well as the SF Group to which they are assigned. Different SF Groups focus on different areas of responsibility (AOR), which require different languages.
A board assigns each enlisted and officer candidate his MOS, Group placement, and language. The MOS, Group, and language that a selected candidate is assigned is not guaranteed, and is contingent upon the needs of the Special Forces community. Generally 80% of selected candidates are awarded their primary choices.
[edit]Special Forces Qualification Course
The Q Course features some of the most intensive training in the US military. When a candidate enters the Q Course, he is assigned to the 1st Special Warfare Training Group (Airborne) at Fort Bragg. This training is phases 2–6 of the Q-Course
Phase II consists of either 18 or 24 weeks of intense language training. Upon completion of this training, candidates are required to attain a minimum rating score in their assigned language, scored on the Defense Language Proficiency Test (DLPT).
After Phase II, candidates begin Phase III, which is a 13-week block of instruction in small unit tactics (SUT) including raids, ambushes, patrols, recons, and other strikes against enemy forces. Students learn how to properly plan these operations using Warning Orders, Operations Order, and Frag Orders as well as other mission planning techniques. The students will plan, present, lead and execute these operations. This part of phase III focuses on small unit tactics and patrolling. During Phase III students also attend the three week Survival, Evasion, Resistance, Escape (SERE) course (level C).
Following the completion of Phase III, candidates then begin Phase IV, for specific training within one of the five initial Special Forces specialties: 18A, SF Detachment Commander; 18B, SF Weapons Sergeant; 18C, SF Engineering Sergeant; 18D, SF Medical Sergeant; and 18E, SF Communications Sergeant. 18A, 18B, 18C, and 18E training courses are 15 weeks long. The 18D training course is 48 weeks long.
The candidates culminate their Special Forces training by participating in Operation ROBIN SAGE, a 4 week long large-scale unconventional warfare exercise (Phase V) conducted over 50,000 square miles of North Carolina. The students are put into 12-man ODAs, organized the same way they are in a real mission. After an intense planning and presenting week the students make an airborne infiltration into the fictional country of Pineland, where they must link up with an "indigenous" force, train them and then lead them in the fight to liberate Pineland from their oppressive government. [37]
Phase VI is graduation. The day before graduation there is a regimental dinner where representatives from each group will present each soldier with his green beret. The next day the students will formally graduate from the Special Forces Qualification Course and will go to their first ODA as fully trained, ready-to-deploy, Special Forces Soldiers.
[edit]Further training
After successfully completing the Special Forces Qualification Course, Special Forces soldiers are then eligible for many advanced skills courses. These include the Military Free Fall Parachutist Course (MFF), the Combat Diver Qualification Course, the Special Operations Target Interdiction Course (SOTIC), and the Special Forces Advanced Reconnaissance and Exploitation Techniques Course (SFARETEC). Additionally, Special Forces soldiers may participate in special operations training courses offered by other services and allied nations throughout their careers.

No comments:

Post a Comment