Friday, August 12, 2016

แนะนำหลักสูตร Basic Combat Training or BCT

บทความแปล หลักสูตร United States Army Basic Combat Training or BCT หรือรู้จักกันในนามของ IET :  Initial Entry Training แต่ทางภาษาชาวบ้านจะเรียกกันว่า Boot Camp มากกว่า เป็นโปรแกรมฝึกทางทหารเน้นการออกกำลังกาย และฝึกด้านจิตใจของทหารใหม่ที่จะรับราชการทหารในสหรัฐฯ โดยมีหน่วยฝึกกระจายตามค่ายทหารทั่วประเทศ โปรแกรมการฝึก ได้รับการออกแบบมาให้มีความเข้มข้นและความท้าทาย ซึ่งมาจากรูปแบบของการฝึกร่างกายต่างๆ รวมทั้งความท้าทายด้านจิตใจที่จะปรับเปลี่ยนพลเรือนมาสู่ชีวิตทหาร 
หลักสูตรการฝึกทหารใหม่พื้นฐาน จะแบ่งออกเป็น 2 ภาค ด้วยกันคือ  Basic Combat Trainin พื้นฐานการรบ และ Advanced Individual Training การฝึกความชำนาญเฉพาะบุคคล ตามหน้าที่ 
การบรรจุบุคคลให้ทำงานตามตำแหน่งและความรับผิดชอบ จะอาศัยการดูประวัติ และภูมิลำเนาประกอบการตัดสินใจ และแตกต่างไปตามเหล่าและกฏกติกาของแต่ละหน่วยหรือเหล่าทัพ 
การฝึกความชำนาญเป็นบุคคลหรือ MOS Military Occupational Specialty (MOS) ทหารไทยจะใช้คำว่าฝึก ชกท. เช่น ช่าง สื่อสาร ราบ ปืนใหญ่ วิศวกร เป็นต้น จะใช้เวลาฝึกประมาณ 4-52 สัปดาห์ 

ภาพรวม

ครูฝึก 


A drill sergeant posing before his company
Drill sergeants หน.ครูฝึกที่รับผิดชอบในการฝึกทหารใหม่ทั้งหมด โดยจะอยู่กับทหารใหม่หรือผู้เข้ารับการฝึกเกือบตลอดเวลาของการฝึกหลักสูตร เป็นผู้คอยให้คำแนะนำ ให้คำสั่ง และแก้ไขการปฏิบัติต่างๆ ของทหารใหม่ ตลอดห้วงการฝึก ตั้งแต่การยิงปืน ไปจนถึงการตรวจเครื่องแต่งกาย ระเบียบวินัยทหาร การแสดงความเคารพผู้บังคับบัญชา เป็นต้นโดยจะมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างที่ หน้าหมวก (campaign hats), มักเรียกกันว่า  "Smokey Bear" hats, คล้ายหมวกของนักอนุรกษ์ป่าไม้

ระบบบัดดี้ 


ใช้อ้างถึง เพื่อนที่ไปด้วยกันตลอดเวลาในสนามรบ เพื่อคอยช่วยเหลือกัน สำหรับการฝึก ระบบ "ฺBuddy" นำมาใช้โดนเน้นระเบียบวินัย ที่ห้ามทหารใหม่เดินไปไหนเพียงลำพัง ต้องมีคู่บัดดี้ไปด้วยกันเสมอ บางครั้งครูฝึกจัดให้ บางครั้งให้เลือกคู่กันเองตามความสมัครใจ 

รปจ.การปฏิบัติประจำวัน 

Line up in the company area.
Morning company formation at Fort Jackson in Columbia, South Carolina.
การฝึกแต่ละวันตามปกติจะใช้ตารางการปฏิบัติตามนี้ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของแต่ละวันได้ 
เวลากิจกรรมคำอธิบาย
0430ตื่นนอนตื่นตอน และทำกิจวัตรส่วนตัว 
0500พละศึกษา (PT)พละศึกษา กายบริหาร และการวิ่ง 
0600อาหารเช้า
0630ฝึกฝึกตามตารางการฝึกของแต่ละวัน
1200อาหารกลางวัน
1230ฝึก ฝึกตามตารางการฝึก
1700Dinner
1730เวลาของครูฝึกรวมพล ชี้แจง และสอบถามปัยหาต่างๆ 
2000เวลาส่วนตัวเวลาส่วนตัวทหารใหม่ เช่น เขียนจดหมาย ขัดรองเท้า ฯลฯ 
2100เข้านอน

การฝึกเข้าเวรยาม 


ทุกคืนจะมีการจัดตารางเวร เพื่อเข้าเวรกองร้อย และเวร ลว.รอบกองร้อย จะแบ่งออกเป็นผลัด ๆ โดยให้เฝ้าดูเหตุการณืทั่วไป และคอยดูว่าจะมีใครหลบหนีออกจากค่ายฝึกหรือไม่ เป็นต้น และจะปลุก ผลัดต่อไป หลังจากครบเวลาเวรของตัวเอง ปกติทหารใหม่ ก็จะประมาณ 1 ชั่วโมง 

นอกจากนี้ยังมีเวร จนท.ดับไฟ เนื่องจากสมัยก่อน กองร้อยสร้างด้วยวัสดุที่เป็นไม้ และมีอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ่อยๆ จึงมีการจัดเวรยามเข้าที่ คลังอุปกรณ์ดับเพลิง ปัจจุบัน โรงนอกทันสมัยและพัฒนามากขึ้น บางค่ายก็เลิกมี แต่บางแห่งก็ยังมีการจัดอยู่บ้าง 

การฝึกพิเศษ 

การฝึกพิเศษ ที่จำเป็นต้องใช้คน อุปกรณื และเครื่องช่วยฝึกเฉพาะทาง เช่น การต่อต้านวัตถุระเบิด เคโม ก็จะส่งทหารใหม่ไปเรียนหรือฝึกกันที่ โรงเรียนหรือสนามฝึกทุ่นระเบิดของทหารช่างในพื้นที่ทหารหรือค่ายทหารใกล้เคียง หรือการฝึกการใช้อาวุธต่อต้านรถถังแบบบุคคล AT4 แบบประทับบ่าเล็ง ก็จะถูกส่งออกไปฝึกยังสนามที่มีเครื่องช่วยฝึกที่พร้อม 

สถานที่ 

ขึ้นอยู่กับการเลือก ความชำนาญส่วนบุคคลหรือ MOS ในระหว่างการลงทะเบียนหรือสมัครเป็นทหาร สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง กองทัพเป็นคนออกค่าเครื่องบินเดินทางให้ 

One Station Unit Training

มีบางคนที่ฝึกพื้นฐานและฝึกความขำนาญเฉพาะบุคคล MOS ในทีเดิม ครูฝึกเดิม เพื่อนๆ เดิมๆ แบบนี้ก็มี เรียกกันว่า 
One Station Unit Training, or OSUT.

Basic Combat Training sites

Fort Jackson BCT symbol.
Fort Jackson BCT emblem
โดยที่ U.S. Army จะมี 4 ค่ายฝึกสำหรับการฝึก BCT 
  • ค่าย Fort Benning in Columbus, รัฐจอร์เจีย มีฝึกทหารราบ และยานเการะ 
  • ค่าย Fort Jackson in Columbia, รัฐคาโรไรนาใต้ ค่ายนี้ใหญ่สุด
  • ค่าย Fort Leonard Wood in St. Robert, รัซมิสซูรี มีฝึกเหล่าช่วยรบ เช่นช่าง เคมี และสารวัตร 
  • ค่าย Fort Sill in Lawton, รัฐ โอกลาโฮมา มีฝึกทหารปืนใหญ่ 

Advanced Individual Training

AIT is held at the corresponding school for the recruit's MOS.
For more information on the different AIT schools, see Advanced Individual Training below.

Reception Battalion

New recruits at reception.
Reception in the Army
Reception Battalion (RECBN) เริ่มจากการรายงานตัวเข้ากองพันของทหารใหม่ และเป็นการเริ่มต้นกระบวนการเข้าเป็นทหารใหม่ ใช้เวลา 4-10 วันของแต่ละพื้นที่ในการเดินทาง จนกว่าจะครบตามจำนวน ซึ่งในขั้นตอนนี้จะมีกิจกรรมต่างๆ อาทิเช่น

  • การตัดผม(ผู้ชายจะใช้โกนหัว; ผู้หญิงก็จะตัดสั้น หรือใช้คลิปหนีบผม )
  • ตรวจร่ายกาย ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ)
  • การฉีดวัคซีน
  • แจกจ่ายเครืองแบบฝึก เครื่องนอนและอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องใช้ในการฝึก 
  • แนะนำพื้นฐานบุคคลท่ามือเท้า การเข้าแถว จัดแถว การเดิน การยืน และการแนะนำที่พัก

Fitness Training Company

ทหารใหม่ที่ตกการทดสอบร่างกาย จะถูกส่งตัวกลับไปที่เดิมก่อนคือที่  Reception Battalion ซึ่งจะได้รับการดูแลในเรื่องของการบริหารร่างกาย การฝึกฝนร่างกาย บางครั้งเรียกขำๆ กันว่า Fat Company หรือกองร้อยอ้วน ซึ่งจะมีครูฝึกที่มีประสบการณ์ในการฝึกฝนร่างกาย และทำให้ทหารใหม่ แข็งแรงขึ้นได้ และจะได้รับโอกาสทดสอบใหม่อีก 2 ครั้ง เมื่อผ่านการทดสอบก็จะผ่านไปฝึกในด่านต่อไป สำหรับคนที่ไม่ผ่านการทดสอบและอยู่ที่กองร้อยอ้วนเป็นเวลา 4 สัปดาห์แล้ว ก็จะมีการส่งตัวกลับ และปลดประจำการตามระเบียบที่กำหนดไว้ ต่อไป 

Basic Combat Training

Basic Combat Training, or BCT,หลักสูตรการฝึก 10 สัปดาห์ ที่จะสอนทหารใหม่ทุกคนในรูปแบบการฝึกเดียวกัน กล่าวคือเป็นหลักสูตรที่ทุกคนต้องเรียนต้องผ่านนั้นเอง เพื่อให้มีทักษะ ความรู้ที่เพียงพอในการแยกฝึกเพื่อความชำนาญตาม mOS ของแต่ละคนต่อไป 
BCT จะแบ่งย่อยออกเป็น 3 เฟสด้วยกัน โดยใช้สีบ่งบอก : แดง, ขาว,และ น้ำเงิน, สำหรับเฟส I, II, และ III, rตามลำดับ  BCT ผู้เข้ารับการฝึกมีความก้าวหน้าตามลำดับ ก็จะผ่านไปรับการฝึกที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบมากขึ้น โดยที่การฝึกในเฟส 1 ครูฝึกจะดูแลทหารใหม่โดยใกล้ชิด ส่วนในเฟส 2 จะเน้นการฝึกเป็นกลุ่ม และเน้นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ทันเวลา  
ใบบางการฝึก จะมีธงแสดงเฟสการฝึก นำหน้า หมวดการฝึก ตามหลังมาจากการฝึกเบสิคแล้ว การฝึกภาคสนาม ของทหารใหม่ จะเป็นการฝึกสุดท้าย

Phase I


Recruits performing push-ups at Fort Jackson in Columbia, South Carolina.
ระหว่างเฟส 1 หรือ ธงสีแดง จะเรียกว่า "Total Control", หมายถึงทหารใหม่จะถูกควบคุมตลอดเวลา โดยครูฝึก และการแก้ไขการทำผิดโดยทันทีจากครูฝึก ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ โดยแฝงนัยยะของการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยทุกเรื่อง เพื่อก่อให้เกิดภาพรวมของความรับผิดชอบ และความเสียสละต่อส่วนใหญ่

Week 1


อาทิตย์ที่ 1 เป็นการพบปะของครูฝึกกับทหารใหม่ จากจุดกองพันรับตัวทหารใหม่ ถ้าเป็นประเทสไทย ก็คือจุดรับตัวที่ มณฑลทหาร ประจำภาค หรือประจำจังหวัดนั้นๆ รับจาก จนท.ฝ่ายทะเบียนทหารหรือสัสดี นั้นเอง จากนั้นก็ขึ้นรถขนส่งเดินทางมายังค่ายการฝึก จำนวนที่รับการฝึกต่อรุ่น ต่อหน่วยฝึก ประมาณ 200 คน ซึ่ง กองร้อย หรือ โรงนอนทหารจะรับได้
เมื่อทหารใหม่มาถึงพื้นที่การฝึก บททดสอบแรกก็จะเริ่มต้นขึ้น "bag drill".วิธีการครูฝึกสั่งให้ทุกคนเอากระเป๋าสัมภาระของแต่ละคนมากองรวมกัน จากนั้นให้ทุกคน หากระเป๋าตนเองให้เจอในเวลาจำกัด ฟังดูไม่ยาก แต่เอาจริงๆ แล้ว หากไม่ช่วยกัน หรือทำงานแบบเป็นทีมแล้ว ก็จะไม่สำเร็จ
การฝึกบุคคลท่ามือเปล่า พวก การจัดแถว การรวมแถว ท่าเคารพ ท่าเดิน ท่าหันต่างๆ ตามระเบียบพัก เป็นต้น ในช่วงนี้ อาจจะมีการแจกปืนไม้ หรือปืนยาง ที่มีขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงกับปืนจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคย จากนั้นอาจจะตามด้วยการรับอาวุธ M16A2/A4 เพื่อให้คุ้นกับอาวุธปืนแต่เนิ่นๆ 

การเรียนในชั้นจะถูกมอบด้วยค่านิยมหลัก 7  ประการ ได้แก่ ความจงรักภักดี หน้าที่ การเคารพ การเสียสละ เกียริตยศ คุณธรรม และ ความกล้าหาญ นำมาเขียนเรียงกันเป็น LDRSHIP, หรือ "leadership" 

Week 2


เข้าสู่อาทิตย์ที่ 2 ของการฝึก เป็นการฝึกทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า หรือเทคนิคการต่อสู้เป็นกลุ่ม อาจจะเป็นการแข่งขันโดยตัวแทนของแต่ละหมวด ทั้งขายและหญิง 
การฝึกการอ่านแผนที่ การเดินแผนที่เข็มทิศ และต้องมีการทดสอบการเดินแผนที่เข็มทิศในป่า โดยแบ่งกันเป็นกลุ่มๆ 

การฝึกการทำงานเป็นทีม ผ่านกำแพงหรือคอหอยที่สูงๆ ซึ่งจะต้องใช้เชือกในการไต่ หรือ โรยตัวลงมาจากหอสูง หรือสะพาน เป็นต้น 

การฝึก การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตนเอง หรือเพื่อนๆ ที่อาจจะได้รับบาดเจ็บในสนามรบ เช่น การทำแผล การช่วยเหลือผู้ป่วยที่ขาดน้ำ เป็นต้น 

Week 3


เข้าสู่อาทิตย์ที่ 3 ของการฝึก จะเป็นการฝึกการเปลสนามแบบประยกต์ เพื่อหามคนป่วยหรือบาดเจ็บ ออกจากพื้นที่การสู้รบ โดยกำหนดด่านและเวลาปฏิบัติให้ทำการฝึก และผ่านด่านทดสอบ ตามวัตถุประสงค์ 
การฝึกป้องกันตนเองจากอาวุธสงครามแบบ เคมี ชีวะ หรือ นชค.  การใช้หน้ากากป้องกันสารพิษ และจะต้องมีการถอดหน้ากากออกในเวลาสั้น ๆ จากนั้นครูฝึก จะทดสอบว่า สติ ยังครบไหม ด้วยการถาม ชื่อที่อยู่ของทหารใหม่ เป็นต้น 

การใช้อาวุธประจำกาย ปลย. M16A2/A4 ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ ส่วนประกอบและระบบการทำงานของอาวุธ การถอดและการประกอบ การแก้ไขปัญหาติดขัด  การเล็ง การลั่นไกต่างๆ แต่จะยังไม่มีการยิงจริงในห้วงนี้

Phase II

Weapon range.
Phase II,จะเรียกว่า  "เฟสขาว" หรือ"เฟสการยิงปืนด้วยกระสุนจริง ด้วย ปลย.M16A2 จะเกี่ยวข้องกับการฝึกยิงปืนในระยะต่างๆ ท่าทางต่างๆ เช่น นั่ง นอน ยืน และมีเป้าให้ยิงหลายแบบ ตั้งแต่เป้าล้มลุก อัตโนมัติ ไปจนถึง เป้ากระดาษ เป้านิ่งต่างๆ และรวมถึงการฝึกการใช้ระเบิดมือ ฝึกข้างระเบิด ไปยังเป้าหมายที่กำหนด
การฝึกเครื่องยิงลูกระเบิดประจำชุด หรือประจำหมวด เช่น M240,M249 M2 เป็นต้น จากนั้นอาจจะฝึกอาวุธของหมวดในการต่อต้านรถถังหรือรถยานเกราะ
ในสับปดาห์นี้ ทหารใหม่ จะได้รับการฝึก หลักสูตร ทดสอบกำลังใจ หรือ  "confidence course", เพื่อผ่านเครื่องกีดขวางต่างๆ เป็นด่านๆ ไป เน้นทำงานเป็นบุคคล และทีมด้วยในบางสถานี 

ในขั้นนี้ ทหารใหม่ ที่ผ่านมาตรฐานจะสามารถ ใช้อาวุธประกอบการเคลื่อนที่ได้อย่างถูกต้อง และว่องไว ตามแบบฝึกที่ได้รับการฝึกฝนมาตลอด จึงจะสามารถผ่านเข้ารับการฝึกในเฟสต่อไปได้ ซึ่งจะต้องมีการฝึกร่างกายอย่างเข้มข้นประกอบด้วยเสมอ ๆ 

Phase III

APFT.
Final PT test.
Phase III, หรือเฟส น้ำเงิน "Warrior Phase" เป็นเฟสที่ผกผัน และท้าทายมากที่สุดของการฝึก จะประกอบด้วยการทดสอบพละศึกษา PT final.  คนที่ไม่ผ่านจะหมดสิทธ์ไปฝึกภาคสนาม กับเพื่อนๆโดยการทดสอบจะใช้มาตรฐานการทดสอบของกองทัพบกสหรัฐฯ Standard Army Annual PT Examination.  คะแนนน้อยที่สุดสำหรับการผ่านทดสอบคือ 150 คะแนน  และผ่านเข้าไปฝึกภาคสนามหรือ FTX  การรบในเวลากลางคืน การรบในพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง อาหารจะแจกให้กินแบบ MREs (Meal Ready to Eat) or "hot alphas".  ครูฝึกจะทำหน้าที่เป็นศัตรูของทหารใหม่ โดยเฉพาะการรบกลางคืน 

อาทิตย์ที่ 2 ของเฟส 3 จะประกอบด้วยการฝึกยุทธวิธีพิเศษในการรบ โดยคำแนะนำของครูฝึก แต่ส่วนมากแล้ว จะเริ่มให้ หน.หมู่ หน.หมวด เป็นคนตัดสินใจสั่งการและนำการปฏิบัติลูกทีมเอง ซึงครูฝึกจะประเมินภาพรวมและเป็นรายบุคคลว่า ทหารใหม่แต่ละนาย มีความรู้ มีทักษะ มีสกิล และความชำนาญของการเป็นทหารที่ดีพอ ที่จะผ่านเข้าสู่การฝึกในระดับต่อไป คือการฝึกความชำนาญ เป็นบุคคล หรือ  AIT ต่อไป 

Advanced Individual Training


การฝึกความชำนาญเป็นบุคคลตามหน้าที่หรือ ชกท. ของทหารใหม่แต่ละคน ระยะเวลาการฝึก ประมาณ 8เดือน - 1 ปี
ซึ่งจะคล้ายๆ กับการฝึกใน BCT ที่การฝึกจะเริ่มมีความเข้าใจ ความชำนาญในหน้าที่มากขึ้น ก็จะเป็นอิสระ และได้รับความไว้วางใจมากขึ้น ในเฟสที่ 4 หลังผ่านการประเมินของครูฝึก ทหารใหม่ก็จะผ่านเข้าสู่เฟส 5 ของการฝึก ซึ่งจะสามารถลาพัก และอนุญาติให้ใช้โทรศัพท์ได้ และเข้าสู่เฟส 5+ ซึ่งจะได้รับสิทธิมากขึ้น เช่น การลาพักในห้วงเสาร์อาทิตย์ 

No comments:

Post a Comment